การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
หลักการในพระคัมภีร์
พระคัมภีร์สนับสนุนการอยู่ห่างจากเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
มีข้อพระคัมภีร์หลายข้อที่หนุนใจให้ผู้คนอยู่ห่างจากแอลกอฮอล์
เลวีนิติ 10:9 “เมื่อตัวเจ้าหรือบุตรของเจ้าจะเข้าไปในเต็นท์นัดพบ ห้ามดื่มเหล้าองุ่นหรือสุรา เพื่อเจ้าจะไม่ต้องตาย ทั้งนี้ให้เป็นกฎเกณฑ์ถาวรตลอดชั่วชาติพันธุ์ของเจ้า”
กันดารวิถี 6:3 “ก็ให้คนนั้นปลีกตัวจากเหล้าองุ่นและสุรา เขาต้องไม่ดื่มน้ำส้มที่ทำจากเหล้าองุ่นหรือสุรา เขาต้องไม่ดื่มน้ำองุ่นหรือรับประทานองุ่นไม่ว่าสดหรือแห้ง”
ผู้วินิจฉัย 13:4 “ฉะนั้นบัดนี้จงระวัง อย่าดื่มเหล้าองุ่นหรือของมึนเมา และอย่ากินของมลทินทุกอย่าง”
สุภาษิต 20:1 “เหล้าองุ่นทำให้ชอบเยาะเย้ย และสุราก็ทำให้เกะกะระราน ใครยอมให้มันพาเจิ่นไปก็ไม่มีปัญญา” และ 31:4 “โอ เลมูเอลเอ๋ย ไม่สมควรที่พระราชาจะเสวยเหล้าองุ่นหรือผู้ครอบครองจะปรารถนาสุรา”
ลูกา 1:15 “เพราะว่าเขาจะเป็นใหญ่เฉพาะพระพักตร์องค์พระผู้เป็นเจ้า เขาจะไม่ดื่มน้ำองุ่นหมักและเหล้าเลย และเขาจะเต็มเปี่ยมด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ตั้งแต่อยู่ในครรภ์มารดา”
ห้ามการเมาเหล้า ไม่ได้ห้ามการดื่ม
อย่างไรก็ตาม ไม่มีพระคัมภีร์ตอนไหนห้ามการดื่มเหล้า แต่ห้ามเมาเหล้า
พระคัมภีร์ไม่ได้ห้ามคริสเตียนไม่ให้ดื่มเบียร์, ไวน์ หรือเครื่องดื่มที่ผสมแอลกอฮอล์เสียเลย แต่คริสเตียนถูกสั่งให้หลีกเลี่ยงการดื่มจนเมามายจนเสียการควบคุมตนเอง (แต่เรามักไม่รู้ว่าเราจะเมาเมื่อไหร่ และคนที่เมาจะบอกว่าตัวเองไม่เมา ดังนั้นอย่าพาตัวเองเข้าสู่การทดลองหรือการทำบาป) เมื่อเหล้าควบคุมเราเราจะทำบาป แต่จงดำเนินชีวิตในพระวิญญาณ และให้พระวิญญาณพระเจ้าควบคุมเรา
เอเฟซัส 5:18 “และอย่าเมาเหล้าองุ่นซึ่งจะทำให้เสียคน แต่จงเต็มเปี่ยมด้วยพระวิญญาณ” ความหมายในพระคัมภีร์ตอนนี้บอกไว้ว่าเมื่อดื่มเหล้าทำให้เราควบคุมตัวเองไม่ได้ แต่ถ้ายอมให้พระวิญญาณของพระเจ้าควบคุม จะถวายเกียรติแด่พระเจ้า
คริสเตียนถูกสั่งด้วยว่าเขาจะต้องไม่ยอมให้ร่างกายตกอยู่ภายใต้ “การควบคุม” ของสิ่งใด
1 โครินธ์ 6:12 “ข้าพเจ้าทำทุกสิ่งได้” แต่ไม่ใช่ทุกสิ่งนั้นเป็นประโยชน์ “ข้าพเจ้าทำทุกสิ่งได้” แต่ข้าพเจ้าไม่ยอมอยู่ใต้อำนาจของสิ่งใดเลย
2 เปโตร 2:19 “พวกเขาสัญญาว่าจะให้เสรีภาพกับคนเหล่านั้น แต่ตัวเองยังเป็นทาสของความเสื่อมทราม เพราะว่าผู้ใดพ่ายแพ้แก่สิ่งใด เขาก็เป็นทาสของสิ่งนั้น”
พระคัมภีร์ตำหนิความเมาและผลของมัน
สุภาษิต 23:29-35 “ใครที่ร้องโอย? ใครที่ร้องอุ้ย? ใครมีเรื่องวิวาท? ใครบ่นพึมพำ? ใครมีแผลโดยไม่จำเป็น? ใครมีตาแดงก่ำ? คือพวกที่นั่งแช่อยู่กับเหล้าองุ่น พวกที่ไปลิ้มลองเหล้าประสม อย่ามองดูเหล้าองุ่นเมื่อมันมีสีแดง เมื่อมันเปล่งประกายในถ้วย และมันไหลลงไปอย่างคล่องคอ ในที่สุดมันจะกัดเหมือนงูและฝังเขี้ยวเหมือนงูทับทาง ตาของเจ้าจะเห็นสิ่งแปลกๆ และใจของเจ้าจะพูดตลบตะแลง เจ้าจะเป็นเหมือนคนที่นอนอยู่ใจกลางทะเล อย่างคนที่นอนอยู่บนยอดเสากระโดง เจ้าจะว่า “พวกเขาตีข้า แต่ข้าไม่เจ็บ พวกเขาทุบข้า แต่ข้าไม่รู้สึก ข้าจะตื่นเมื่อไหร่หนอ? ข้าจะแสวงหาการดื่มอีก”
1 โครินธ์ 8:9-13 “แต่จงระวังอย่าให้สิทธิของพวกท่านทำให้พวกที่มีความเชื่ออ่อนแอสะดุด เพราะว่าถ้าใครเห็นท่านที่มีความรู้นั่งรับประทานอาหารในโบสถ์ของรูปเคารพ มโนธรรมที่อ่อนแอของคนนั้นก็จะเหิมขึ้นและกินของที่บูชาแก่รูปเคารพไม่ใช่หรือ? ความรู้ของท่านจะทำให้พี่น้องที่มีความเชื่ออ่อนแอ ซึ่งพระคริสต์ทรงยอมวายพระชนม์เพื่อเขาต้องพินาศไป และเมื่อพวกท่านทำผิดต่อพี่น้องเช่นนี้และทำร้ายมโนธรรมที่อ่อนแอของพวกเขา ท่านก็ทำผิดต่อพระคริสต์ด้วย เพราะฉะนั้นถ้าอาหารเป็นเหตุที่ทำให้พี่น้องของข้าพเจ้าสะดุด ข้าพเจ้าจะไม่กินเนื้อสัตว์อีกต่อไป เพื่อว่าจะไม่ทำให้พี่น้องต้องสะดุด”
จากหลักการที่กล่าวมานี้คงเป็นเรื่องยากมากที่คริสเตียนจะพูดว่าเขากระทำสิ่งนี้เพื่อถวายเกียรติพระเจ้า ข้อพระคัมภีร์ที่มักถูกใช้ว่าพระเยซูก็ยังเห็นด้วยในการดื่มเหล้าองุ่น พระเยซูทรงเปลี่ยนน้ำให้เป็นเหล้าองุ่น ดังนั้นจึงดูเหมือนว่าพระเยซูทรงดื่มเหล้าองุ่นในบางโอกาส “งานสมรสที่หมู่บ้านคานา” ในพระธรรม
ยอห์น 2:1-11
เหตุผล: เนื่องจากน้ำในสมัยพันธสัญญาใหม่ไม่ค่อยสะอาดนัก หากไม่มีการใช้หลักสุขอนามัยที่ดี น้ำจะเต็มไปด้วยแบคทีเรีย, เชื้อไวรัส และสิ่งปนเปื้อนมากมายหลายชนิด ซึ่งเหมือนกับในโลกที่สามในปัจจุบัน ดังนั้นผู้คนจึงดื่มเหล้าองุ่น (หรือน้ำองุ่น) เป็นประจำ เพราะมีสิ่งปนเปื้อนน้อยกว่ามาก
มุมมองเกี่ยวกับคำแนะนำของเปาโลใน 1 ทิโมธี 5:23 และข้อควรระวังในการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
1 ทิโมธี 5:23 “อย่าดื่มแต่เพียงน้ำอีกต่อไป จงใช้เหล้าองุ่นบ้างเล็กน้อย เพื่อประโยชน์กับกระเพาะอาหารของท่าน และโรคที่ท่านเป็นอยู่บ่อยๆ” อาจารย์เปาโลสั่งทิโมธีให้หยุดดื่มน้ำ (ซึ่งอาจเป็นสาเหตุของปัญหาเกี่ยวกับท้องไส้ของท่าน) แต่ให้ดื่มเหล้าองุ่นแทน
รากศัพท์ภาษากรีกของคำว่า “เหล้าองุ่น” ในพระคัมภีร์เป็นคำที่ใช้กันทั่วไปสำหรับเหล้าองุ่นในปัจจุบัน ในยุคนั้นเหล้าองุ่นถูกหมักไว้
ข้อโต้แย้งที่บอกว่าเราไม่ควรดื่ม
ความแรงของเหล้าองุ่นหมักในสมัยนั้นไม่เท่ากับในปัจจุบัน หากจะพูดว่ามันเป็นน้ำองุ่นก็ไม่ถูกต้องนัก แต่จะพูดว่ามันเป็นเหมือนเหล้าองุ่นในปัจจุบันก็ไม่ถูกต้องอีกเหมือนกัน แอลกอฮอล์โดยตัวของมันเองไม่ได้เป็นความบาป แต่การเมามายและติดแอลกอฮอล์ต่างหากที่คริสเตียนต้องหลีกเลี่ยงโดยสิ้นเชิง อย่างไรก็ตาม หลักการในพระคัมภีร์ทำให้การโต้เถียงว่าการที่คริสเตียนดื่มแอลกอฮอล์ไม่ว่าจะมากน้อยแค่ไหนเป็นที่พอพระทัยของพระเจ้านั้นเป็นเรื่องยาก
พระคัมภีร์พูดชัดเจนว่า เหล้าเมื่อดื่มมากๆ จะทำร้ายคนที่ดื่มมัน
สุภาษิต 23:31-32 “อย่ามองดูเหล้าองุ่นเมื่อมันมีสีแดง เมื่อเป็นประกายในถ้วยและลงไปคล่องๆ ณ ที่สุดมันกัดเหมือนงูและมันฉกเอาเหมือนงูทับหาง”
การประกาศข่าวประเสริฐในสังคมไทยจะยากขึ้น
หากเราต้องการประกาศกับเพื่อนในประเทศไทยจะทำได้ยากมาก เพราะสังคมไทยส่วนใหญ่เป็นผู้ที่นับถือศาสนาพุทธ และมีมาตรฐานการดำเนินชีวิตตามศีล 5 ซึ่งหนึ่งในนั้นคือ “การไม่ดื่มสุรา”
หากคริสเตียนดื่มสุราก็อาจจะถูกมองว่าตกจากมาตรฐานของการเป็นคนดีของชาวพุทธ เมื่อเราประกาศว่าพระเจ้าเปลี่ยนแปลงชีวิตเราก็อาจจะเห็นความแตกต่างได้ยาก
สรุป
การดื่มแอลกอฮอล์ในประเทศไทยไม่ควรทำ (เพราะจะทำให้การประกาศข่าวประเสริฐกับคนไทยที่ยังไม่เชื่อยากมาก) แม้ไม่บาปหากไม่เมา แต่เสี่ยงที่จะทำบาปเพราะแอลกอฮอล์ทำให้เราขาดการควบคุมสติ ไม่มีประโยชน์ต่อร่างกายเราเอง และอาจเป็นภัยต่อเพื่อนบ้าน อาจเล็งถึงการขาดความรักเมื่อทำให้คนไทยที่ยังไม่เชื่อพระเจ้าสะดุด